บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช เนื้อเรื่องมาจากวรรณคดีของอินเดียเรื่อง รามายณะ อันเป็นวรรณคดี
ที่สำคัญและมีมานานกว่า ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ไทยเรานำมาเล่นเป็นหนังและโขน
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง
รามเกียรติ์ เป็น กลอนบทละคร แต่ไม่แพร่หลายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราชทรงเกรงว่า เรื่อง รามเกียรติ์ จะสูญไปเสียจึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น
และได้โปรดเกล้าฯ ในกวีในสมัยของพระองค์ร่วมนิพนธ์ด้วยหลายตอนรามเกียรติ์
ฉบับพระราชนิพนธ์ฉบับนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับวรรณคดีเรื่อง รามายณะ ของอินเดีย
แล้วก็มีที่แตกต่างกันหลายอย่าง เช่น เนื้อเรื่องบางตอน ชื่อตัวละครบางตัว เป็นต้น
นอกจากนี้ในอินเดีย วรรณคดีเรื่องนี้ถือกันว่าเป็นคัมภีร์สำคัญเพราะเป็นเรื่องราว
ที่แสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของ พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ด้วยเหตุที่ไทย
เรานับถือพุทธศาสนา เราจึงมิได้ยึดถือเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังนัก ดังที่กล่าวไว้
ในตอนท้ายเรื่องว่า
จุฬาโลกมหาราช เนื้อเรื่องมาจากวรรณคดีของอินเดียเรื่อง รามายณะ อันเป็นวรรณคดี
ที่สำคัญและมีมานานกว่า ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ไทยเรานำมาเล่นเป็นหนังและโขน
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง
รามเกียรติ์ เป็น กลอนบทละคร แต่ไม่แพร่หลายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราชทรงเกรงว่า เรื่อง รามเกียรติ์ จะสูญไปเสียจึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น
และได้โปรดเกล้าฯ ในกวีในสมัยของพระองค์ร่วมนิพนธ์ด้วยหลายตอนรามเกียรติ์
ฉบับพระราชนิพนธ์ฉบับนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับวรรณคดีเรื่อง รามายณะ ของอินเดีย
แล้วก็มีที่แตกต่างกันหลายอย่าง เช่น เนื้อเรื่องบางตอน ชื่อตัวละครบางตัว เป็นต้น
นอกจากนี้ในอินเดีย วรรณคดีเรื่องนี้ถือกันว่าเป็นคัมภีร์สำคัญเพราะเป็นเรื่องราว
ที่แสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของ พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ด้วยเหตุที่ไทย
เรานับถือพุทธศาสนา เราจึงมิได้ยึดถือเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังนัก ดังที่กล่าวไว้
ในตอนท้ายเรื่องว่า
อันพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ | ทรงเพียรตามเรื่องนิยายไสย |
ใช่จะเป็นแก่นสารสิ่งใด | ตั้งพระทัยสมโภชบูชา |
ใครฟังอย่าได้ไหลหลง | จงปลงอนิจจังสังขาร์ |
ซึ่งอักษรกลอนกล่าวลำดับมา | โดยราชปรีดาก็บริบูรณ์ |
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชสมภพเมื่อ
พ.ศ. ๒๒๗๙ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิมว่า ทองด้วง เมื่อทรงเจริญวัยได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร ต่อมาในรัชการพระเจ้าเอกทัศน์ได้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกู้อิสรภาพได้แล้ว ทรงรับราชการอยู่ด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นแม่ทัพสำคัญในการปราบปรามชุมนุมต่างๆ และหัวเมืองเขมร ลาว แข็งข้อ ตลอดจนกองทัพพม่าที่ยกมาตีเชียงใหม่ และพิษณุโลกได้อย่างสามารถ มีความดีความชอบได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นโดยลำดับจากพระราชวรินทร พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยายมราช เจ้าพระยาจักรี จนถึงสมเด็จเจ้าพระยา มหากษัตริย์ศึก ต่อมากรุงธนบุรีเกิดจลาจล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ ประชาราษฏร์จึงได้กราบทูลอัญเชิญ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ พระองค์ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และได้ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร ตลอดรัชการพระองค์ต้องทรงกระทำสงครามกับพม่า ยาม สงบศึกก็ทรงบูรณะ ฟื้นฟูพระนครและพระราชอาณาจักรหลายด้าน เช่น การปกครอง เศรษฐกิจ การทหาร พระพุทธศาสนา วัฒนธรรม และศิลปกรรม และที่สำคัญยิ่งคือ ได้ทรงริเริ่มการสังคายนาพระไตรปิฏก และจารึกไว้เป็นหลักฐานอย่างครบถ้วน พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ทั้งในการรบและการประพันธ์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ ฉบับสมบูรณ์บทละครเรื่อง อิเหนา อุณรุท นิราศเรื่อง รบพม่าที่ท่าดินแดง และกวี ช่วยกันแต่งวรรณกรรมต่างๆ ที่เคยมีมาแต่ครั้ง กรุงศรีอยุธยา แต่ได้สูญหายไปเมื่อคราวเสียกรุง ให้แต่งขึ้นใหม่เป็นวรรณคดี สำหรับพระนคร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงครองราชย์สมบัติอยู่ ๒๗ปี เสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒ พระชนมายุ ๗๓ พรรษา |
รามเกียรติ์ ตอนปราบนนทก
มาจะกล่าวบทไป | |
ตั้งแต่พระสยมภูวญาณ | ประทานให้ล้างเท้าเทวา |
อยู่บันไดไกรลาสเป็นนิจ | สุราฤทธิ์ตบหัวแล้วลูบหน้า |
บ้างให้ตักน้ำลางบาทา | บ้างถอนเส้นเกศาวุ่นไป |
จนผมโกร๋นโล้นเกลี้ยงถึงเพียงหู | ดูเงาในน้ำแล้วร้องไห้ |
ฮึดฮัดขัดแค้นแน่นใจ | ตาแดงดั่งแสงไฟฟ้า |
เป็นชายดูดู๋มาหมิ่นชาย | มิตายจะได้มาเห็นหน้า |
คิดแล้วก็รีบเดินมา | เฝ้าพระอิศราธิบดี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ | |
ครั้นถึงจี่งประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระอิศวรเรืองศรี |
ว่าพระองค์เป็นหลักธาตรี | ย่อมเมตตาปรานีทั่วพักตร์ |
ผู้ใดทำชอบต่อเบื้องบาท | ก็ประสาททั้งพรแลยศศักดิ์ |
ตัวข้านี้มีชอบนัก | ล้างเท้าสุรารักษ์ถึงโกฏิปี |
พระองค์ผู้ทรงศักดาเดช | ไม่โปรดเกศแก่ข้าบทศรี |
กรรมเวรสิ่งใดดั่งนี้ | ทูลพลางโกศีรำพัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด | |
เมื่อนั้น | พระอิศวรบรมรังสรรค์ |
เห็นนนทกโศกาจาบัลย์ | พระทรงธรรม์ให้คิดเมตตา |
จึ่งมีเทวราชบรรหาร | เอ็งต้องการสิ่งไรจงเร่งว่า |
ตัวกูจะให้ดั่งจินดา | อย่าแสนโศกาอาลัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ | |
บัดนั้น | นนทกผู้มีอัชณาสัย |
น้อมเศียรบังคมแล้วทูลไป | จะขอพรเจ้าไตรโลกา |
ให้นิ้วข้าเป็นเพชรฤทธี | จะชี้ใครจงม้วยสังขาร์ |
จะได้รองเบื้องบาทา | ไปกว่าจะสิ้นชีวี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ ์ | |
เมื่อนั้น | พระสยมภูวญาณเรืองศรี |
ได้ฟังนนทกพาที | ภูมีนิ่งนึกตรึกไป |
ไอ้นี่มีชอบมาช้านอน | จำจะประทานพรให้ |
คิดแล้วก็ประสิทธิ์พรชัย | จงได้สำเร็จมโนรถ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ | |
บัดนั้น | นนทกผู้ใจสาหส |
รับพรพระศุลีมียศ | บังคมลาแล้วบทจรไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ | |
ครั้นถึงบันไดไกรลาส | ขัดสมาธินั่งยิ้มริมอ่างใหญ่ |
คอยหมู่เทวาสุราลัย | ด้วยใจกำเริบอหังการ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ | |
เมื่อนั้น | เทวาสุราฤทธิ์ทุกทิศา |
สุบรรณคนธรรพ์วิทยา | ต่างมาเฝ้าองค์พระศุลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เหาะ | |
ครั้นถึงซึ่งเซิงไกรลาส | คนธรรพ์เทวาราชฤาษี |
ก็ชวนกันย่างเยื้องจรลี | เข้าไปยังที่อัฒจันทร์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ | |
นนทกก็ล้างเท้าให้ | เมื่อจะไปก็จับหัวสั่น |
สัพยอกหยอกเล่นเหมือนทุกวัน | สรวลสันต์เยาะเย้ยเฮฮา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา | |
บัดนั้น | นนทกน้ำใจแกล้วกล้า |
กริ้วโกรธร้องประกาศตวาดมา | อนิจจาข่มเหงเล่นทุกวัน |
จนหัวไม่มีผมติด | ขบฟันแล้วชี้นิ้วไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ | |
ต้องสุบรรณเทวานาคี | ดั่งพิษอสุนีไม่ทนได้ |
ลัมฟาดกลาดเกลื่อนลงทันใด | บรรลัยไม่ทันพริบตา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด | |
เมื่อนั้น | หัสนัยน์เจ้าตรัยตรึงศา |
เห็นนนทกนั้นทำฤทธา | ชี้หมู่เทวาวายปราณ |
ตกใจตะลึกรำพึงคิด | ใครประสิทธิ์ให้มันมาสังหาร |
คิดแล้วเข้าเฝ้าพระทรงญาณ | ยังพิมานทิพรัตน์รูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ | |
ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระอิศวรเรืองศรี |
ว่านนทกมันทำฤทธี | ชี้หมู่เทวานั้นบรรลัย |
อันซึ้งนิ้วเพชรของมัน | พระทรงธรรม์ประสิทธิ์หรือไฉน |
จึ่งทำอาจองทะนงใจ | ไม่เกรงใต้เบื้องบาทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ |
เมื่อนั้น | พระอิศวรบรมนาถา |
ได้ฟังองค์อมรินทรา | จึ่งมีบัญชาตอบไป |
ไอ้นี่ทำชอบมาช้านาน | เราจี่งประทานพรให้ |
มันกลับทรยศกบฏใจ | ทำการหยาบใหญ่ถึงเพียงนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ | |
ตรัสแล้วจึ่งมีบัญชา | ดูราพระนารายณ์เรืองศรี |
ตัวเจ้าผู้มีฤทธี | เป็นที่พึ่งแก่หมู่เทวัญ |
จงช่วยระงับดับเข็ญ | ให้เย็นทั่วพิภพสรวงสวรรรค์ |
เชิญไปสังหารอ้ายอาธรรม์ | ให้มันสิ้นชีพชีวา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ | |
เมื่อนั้น | องค์นารายณ์นาถา |
รับสั่งถวายบังคมลา | ออกมาแปลงกายด้วยฤทธี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ | |
เป็นโฉมนางเทพอัปสร | อ้อนแอ้นอรชรเฉลิมศรี |
กรายกรย่างเยื่องจรลี | ไปสู่ที่นนทกจะเดินมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด เพลง | |
บัดนั้น | นนทกผู้ใจแกล้วกล้า |
สิ้นเวลาเฝ้าเจ้าโลกา | สำราญกายาแล้วเดินมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด | |
เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์ | ์พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข |
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร | งามนัยน์เนตรงามกร |
งามถันงามกรรณงามขนง | งามองค์ยิ่งเทพอัปสร |
งามจริตกิริยางามงอน | งามเอวงามอ่อนทั้งกายา |
ถึงโฉมองค์อัครลักษมี | พระสุรัสวดีเสน่หา |
สิ้นทั้งไตรภพจบโลกา | จะเอามาเปรียบไม่เทียบทัน |
ดูไหนก็เพลินจำเริญรัก | ในองค์เยาวลักษณ์สาวสวรรค |
ยิ่งพิศยิ่งคิดผูกพัน | ก็เดินกระชั้นเข้าไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เข้าม่าน | |
โฉมเอยโฉมเฉลา | เสาวภาค์แน่งน้อยพิสมัย |
เจ้ามาแต่สวรรค์ชั้นใด | นามกรชื่อไรนะเทวี |
ประสงค์สิ่งอันใดจะใคร่รู้ | ทำไมมาอยู่ที่นี่ |
ข้าเห็นเป็นน่ปรานี | มารศรีจงแจ้งกิจจา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ | |
เมื่อนั้น | นางนารายณ์เยาวลักษณ์เสน่หา |
ได้ฟังยิ่งทำมารยา | ชำเลืองนัยนาแล้วตอบไป |
ทำไมมาล่วงไถ่ถาม | ลวนลามบุกรุกเข้ามาใกล้ |
ท่านนี้ไม่มีความเกรงใจ | เราเป็นข้าใช้เจ้าโลกา |
พนักงานฟ้อนรำระบำบัน | ชื่อสุวรรณอัปสรเสน่หา |
มีทุกข์จึ่งเที่ยวลงมา | หวังว่าจะให้คลายร้อน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ | |
สุดเอยสุดสวาท | โฉมประหลาดล้ำเทพอัปสร |
ทั้งวาจาจริตก็งามงอน | ควรเป็นนางฟ้อนวิไลลักษณ์ |
อันซึ่งธุระของเจ้า | หนักเบาจงแจ้งให้ประจักษ์ |
ถ้าวาสนาเราเคยบำรุงรัก | ก็จะเป็นภักดิ์ผลสืบไป |
ตัวพี่มิได้ลวนลาม | จะถือความสิ่งนี้นี่ไม่ได้ |
สาวสรรค์ขวัญฟ้ายาใจ | พี่ไร้คู่จะพึ่งแต่ไมตรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ | |
เมื่อนั้น | นางเทพนิมิตโฉมศรี |
ค้อนแล้วจึ่งตอบวาที | ว่านี้ไพเราะเป็นพ้นไป |
อันซึ่งฝากไมตรีข้า | ข้อนั้นไพเราะเป็นพ้นไป |
อันซึ่งจะฝากไมตรีข้า | ข้อนั้นอย่าว่าหารู้ไม่ |
เราเป็นนางรำระบำใน | จะมีมิตรที่ใจผูกพัน |
ในการนักเลงเพลงฟ้อน | จึ่งจะผ่อนด้วยความเกษมสันต์ |
รำได้ก็มารำตามกัน | นั่นแหละจะสมดั่งจินดา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ | |
บัดนั้น | นนทกผู้ใจแกล้วกล้า |
ไม่รู้ว่านารายณ์แปลงมา | ก็โสมนัสสาพันทวี |
ยิ้มแล้วจึ่งกล่าวว่าสุนทร | ดูก่อนนางฟ้าเฉลิมศรี |
เจ้าจักปรารมภ์ไปไยมี | พี่เป็นคนเก่าพอเข้าใจ |
เชิญเจ้ารำเถิดนะนางฟ้า | ให้สิ้นท่าที่นางจำได้ |
ตัวพี่จะรำตามไป | มิให้ผิดเพลงนางเทวี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ | |
เมื่อนั้น | พระนารายณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี |
เห็นนนทกหลงกลก็ยินดี | ทำทีเยื้องกรายให้ยวนยิน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา | |
เทพนมปฐมพรหมสี่หน้า | สอดสร้อยมาลาเฉิดฉิน |
ทั้งกวางเดินหงส์บิน | กินรินเลียบถ้ำอำไพ |
อีกช้านางนอนภมรเคล้า | ทั้งแขกเต้าผาลาเพียงไหล่ |
เมขลาโยนแก้วแววไว | มยุเรศฟ้อนในอัมพร |
ลมพัดยอดตองพรหมนิมิต | ทั้งพิสมัยเรียงหมอน |
ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร | พระสี่กรขว้างจักรฤทธิรงค์ |
ฝ่ายนนทกก็รำตาม | ด้วยความพิสมัยใหลหลง |
ถึงท่านาคาม้วนหางวง | ชี้ตรงถูกเพลาทันใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง | |
ด้วยเดชนิ้วเพชรสิทธิศักดิ์ | ขาหักล้มลงไม่ทนได้ |
นางกลายเป็นองค์นารายณ์ไป | เหยียบไว้จะสังหารราญรอน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด | |
บัดนั้น | นนทกแกล้วหาญชาญสมร |
เห็นพระองค์ทรงสังข์คทาธร | เป็นสี่กรก็รู้ประจักษ์ใจ |
ว่าพระหริวงศ์ทรงฤทธิ์ | ลวงล้างชีวิตก็เป็นได้ |
จึ่งมีวาจาถามไป | โทษข้าเป็นไฉนให้ว่ามา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ | |
เมื่อนั้น | พระนารายณ์บรมนาถา |
ได้ฟังจึ่งมีบัญชา | โทษามึงใหญ่หลวงนัก |
ด้วยทำโอหังบังเหตุ | ไม่เกรงเดชพระอิศวรทรงจักร |
เอ็งฆ่าเทวาสุรารักษ์ | โทษหนักถึงที่บรรลัย |
ตัวกูก็คิดเมตตา | แต่จะไว้ชีวามึงไม่ได้ |
ตรัสแล้วแกว่งตรีเกรียงไกร | แสงกระจายพรายไปดั่งไฟกาล ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ | |
บัดนั้น | นนทกผู้ใจแกล้วหาญ |
ได้ฟังจึ่งตอบพจมาน | ซึ่งพระองค์จะผลาญชีวี |
เหตุใดมิทำซึ่งหน้า | มารยาเป็นหญิงไม่บัดสี |
หรือว่ากลัวนิ้วเพชรนี้ | จะชี้พระองค์ให้บรรลัย |
ตัวข้ามีมือแต่สองมือ | หรือจะสู้ทั้งสี่กรได้ |
แม้นสี่มือเหมือนพระองค์ทรงชัย | ที่ไหนจะทำได้ดั่งนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ | |
เมื่อนั้น | พระนารายณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี |
ได้ฟังจึ่งตอบวาที | กูนี้แปลงเป็นสตรีมา |
เพราะมึงจะถึงแก่ความตาย | ฉิบหายด้วยหลงเสน่หา |
ใช่ว่ากลัวฤทธา | ศักดานิ้วเพชรนั้นเมื่อไร |
ชาตินี้มึงมีแต่สองหัตถ์ | จงไปอุบัติเอาชาติใหม่ |
ให้สิบเศียรสิบพักตร์เกรียงไกร | เหาะเหินเดินได้ในอัมพร |
มีมือยี่สิบซ้ายขวา | ถือคทาอาวุธธนูศร |
กูจะเป็นมนุษย์แต่สองกร | ตามไปราญรอนชีวี |
ให้สิ้นวงศ์มึงอันศักดา | ประจักษ์แก่เทวาทุกราศี |
ว่าแล้วกวัดแกว่งพระแสงตรี | ภูมีตัดเศียรกระเด็นไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด โอด | |
ครั้นล้างนนทกมรณา | พระจักราผู้มีอัชณาสัย |
เหาะระเห็จเตร็จฟ้าด้วยว่องไว | ไปยังเกษียรวารี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด | |
เมื่อนั้น | ฝ่ายนางรัชดามเหสี |
องค์ท้าวลัสเตียนธิบดี | เทวีมีราชบุตรา |
คือว่านนทกมากำเนิด | เกิดเป็นพระโอรสา |
ชื่อทศกัณฐ์กุมารา | สิบเศียรสิบหน้ายี่สิบกร |
อันน้องซึ่งถัดมานั้น | ชื่อกุมภรรณชาญสมร |
องค์พระบิตุเรศมารดร | มิให้อนาทรสักนาที |